ลงข้อมูลเมื่อ : 30/04/2018 20:59
ตั้งแต่ 30/04/2018 ถึง 30/04/2018
แผลกดทับคืออะไร?
เราเคยได้ยินมาไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับแผลกดทับ แต่เพื่อนๆหลายๆคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแผลกดทับคืออะไร แล้วแผลกดทับนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้ผมจะมาอธิบายเพื่อทำความรู้จักเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวกับแผลกดทับกัน เพื่อให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆนำไปใช้เพื่อห่างไกลจากโรคนี้กัน
แผลกดทับก็คือบริเวณที่เกิดการตายของเซลล์และเนื้อเยื่อเนื่องจากการขาดเลือดอันเป็นผลจาการถูกกดทับเป็นเวลานานๆ แผลกดทับมักจะเกิดบริเวณเนื้อเยื่อที่อยู่เหนือปุ่มกระดูก เช่นบริเวณกระดูกก้นกบ กระดูกสะโพกตาตุ่ม
ปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับมีดังนี้
1. การกดทับ บริเวณที่มีกล้ามเนื้อมากนั้นมักจะทนต่อแรงกดทับได้ดี จากงานวิจัยฉบับหนึ่งกล่าวไว้ว่าเมื่อเกิดแรงกดประมาณ 70 มม.ปรอทโดยกดทับเป็นเวลา 1 – 2 ชั่วโมง ติดต่อกันนั้นจะทำให้เกิดการขาดเลือดขึ้น และแรงกดจำนวนมากแม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เกิดอันตราย ต่อเนื้อเยื่อได้เท่ากับแรงกดน้อยๆแต่ระยะเวลานานได้เช่นกัน แผลกดทับโดยส่วนใหญ่นั้นมักจะพบในผู้ป่วยอัมพาตแบบ flaccid มากกว่าอัมพาต แบบ spastic
2. แรงไถและความเสียดทาน การไถและการเสียดทานนั้นก็อันตรายกับผู้ป่วยแล้วมีโอกาสที่จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นตายเช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุนั้นเพราะการไถหรือการเสียดทานจะทำให้เกิดการปริแตกของเนื้อเยื่อได้ง่าย มักจะพบในผู้ป่วยอัมพาตที่นั่งรถเข็นโดยเฉพาะเวลามีการเคลื่อนตัวบนรถเข็น
3. อุณหภูมิ ผลของการเพิ่มอุณหภูมิจะทำให้มีการเพิ่มของเมตาบอลิสซึมของเซลล์ส่งผลให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและตายได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนี้อุณหภูมิจึงมีส่วนทำให้แผลกดทับรุนแรงยิ่งขึ้น
4. อายุ ยิ่งอายุมากขึ้นหมายความว่า ร่างกายของเรานั้นจะฟื้นตัวได้ช้าลงกว่าวัยหนุ่มสาว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้เกิดแผลกดทับได้ง่ายกว่า
5. ภาวะทางโภชนาการ การขาดโปรตีนจะทำให้การเสริมสร้างเนื้อเยื่อช้าลงส่งผลให้แผลหายช้า จากกงานวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วยที่มีแผลควรได้รับโปรตีน 80 – 100 กรัม/วัน นอกจากนี้ภาวะความไม่สมดุลของไนโตรเจน แคลเซียม และการขาดวิตามินนั้นภาวะเหล่านี้จะส่งผลทำให้แผลหายช้าลง
6. การบวมน้ำ อาการนี้นั้นซึ่งจะเป็นตัวขัดขวางการส่งผ่านอาหารและออกซิเจนจากเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงเซลล์ทำให้เกิดแผลกดทับได้ง่ายขึ้นและหายช้าลงด้วย
7. ภาวะความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เพราะการที่ต่อมไร้ท่อผิดปกติทำงานผิดปกติ หมายถึงสุขภาพโดยรวมของร่างกายจะแย่ลงด้วย จึงเป็นเรื่องปกติของผู้ที่มีปัญหาภาวะผิดปกติของต่อมไร้ท่อจะเป็นโรคได้ง่ายขึ้น
8. ปัจจัยอื่นๆ เช่นความชื้นจากเหงื่อ อุจจาระ ภาวะติดเชื้อเป็นต้น
แผลกดทับแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ
ระดับที่ 1 เป็นรอยแดงของผิวหนัง
ระดับที่ 2 ผิวหนังกำพร้าถูกทำลายหรือฉีกขาด [Patial thickness] หรือมีการทำลายชั้นผิวหนังแท้เป็นแผลตื้นๆ
ระดับ ที่ 3 มีการทำลายชั้นผิวหนังลึกลงไป แต่ไม่ถึงพังผืดหรือเอ็นยึดกล้ามเนื้อ เกิดเป็นแผลลึกแต่ไม่เป็นโพรง [ Full Thickness Skin Loss ]
ระดับที่ 4 มีการทำลายผิวหนังลึกลงไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ กระดูกหรือโครงสร้างของร่างกาย
การป้องกันแผลกดทับ
1. ดูแลพลิกตะแคงตัวเปลี่ยนท่านอนทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยจัดให้ตะแคงซ้ายตะแคงขวา นอนหงายนอนคว่ำกึ่งตะแคงสลับกันไป ตามความเหมาะสมควรใช้หมอนหรือผ้านุ่มๆรองบริเวณที่กดทับหรือปุ่มกระดูก เพื่อ ป้องกันการเสียดสีและลดแรงกดทับ
2. ควรใช้ที่นอนที่มีการถ่ายเทอากาศ เช่น ที่นอนลม ที่นอนน้ำ ที่นอนฟองน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ที่นอนที่การระบายอากาศไม่ดี เช่น ที่นอนหุ้มพลาสติก
3. ดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้สะอาดแห้งไม่อับชื้น เพราะถ้าผิวหนังเปียกชื้นหรือร้อนจะทำให้เกิดแผลเปื่อย ซึ่งจะทำให้เกิดผิวหนังถลอกในเวลาต่อมา และหากสังเกตพบว่าผู้ป่วยมีผิวหนังแห้งแตกเป็นขุยนั้นควรดูแลทาครีมหรือโลชั่นทาผิวหนังที่บริเวณนั้น
4. ดูแลให้ผู้ป่วยออกกำลังกายตามความเหมาะสม เพื่อให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดและผิวหนังแข็งแรง มีการไหลเวียนของโลหิตดี
5. ดูแลให้อาหารผู้ป่วยอย่างเพียงพอ คุณค่าทางโภชนาการครบโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนจำเป็นอย่างมากต่อผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ นอกจากนี้ต้องดูแลให้วิตามิน ธาตุเหล็ก และน้ำอย่างสมดุลด้วย
ด้วยความปรารถนาดีจาก Vsenior.NET
จัดจำหน่ายโดยร้าน VSENIOR